การอบอุ่นร่างกายทำอย่างไร

การอบอุ่นร่างกาย
ควรใช้ท่าที่ง่าย จังหวะช้าๆ
ระยะเวลาที่ใช้อบอุ่นร่างกาย
ประมาณ 5-10 นาที หรือมากกว่านี้ถ้ามีเวลาพอ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนหรือผู้สูงอายุ อาจใช้เวลา 15 นาที
โดยใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนความหนักของท่า
ความเร็วของจังหวะเข้าสู่ช่วงของการเล่นกีฬาอย่างช้าๆ
เป็นการปรับระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อทำให้ช่วงต่อไปสามารถออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้ดีขึ้น
การอบอุ่นร่างกาย
เป็นกิจกรรมแรกที่จะต้องทำก่อนการออกกำลังกายและเล่นกีฬา การอบอุ่นร่างกายที่ดีและมีระบบนั้น จะทำให้มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ การอบอุ่นร่างกายมีขั้นตอนดังนี้
1.
การอบอุ่นร่างกายทั่วไป จะใช้การวิ่งเหยาะๆ (Jogging) การบริหารกาย (Body conditioning) และการยึดกล้ามเนื้อ
(Stretching) แต่ต้องใช้เวลาและความหนักเพียงพอ
ที่จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดความเมื่อยล้ามากเกินไป
โดยปกติจะใช้เวลาอบอุ่นร่างกายทั่วไปประมาณ 5-10 นาที
2.
การอบอุ่นร่างกายเฉพาะ (Specific warm up) จะทำหลังจากการอบอุ่นร่างกายทั่วไป
โดยเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้นจนสึกว่าอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นและหัวใจเต้นเร็วขึ้น
เช่น การอบอุ่นร่างกายของทีมฟุตบอล
มีการเตะลูกส่งไป - มา การเลี้ยงลูก การยิงประตู
การอบอุ่นร่างกายมีหลักอย่างไร
การอบอุ่นร่างกาย
ควรเป็นท่าที่ใช้การเคลื่อนไหวพื้นฐานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ โดยใช้ช่วงของการเคลื่อนไหวที่กว้าง เช่น การเดินเร็วหรือก้าวเท้ายาว การวิ่งเยาะ ๆ
การกระโดด การเตะขา การยกเข่า
เป็นต้น ซึ่งใช้กล้ามเนื้อ ลำตัว และขา เป็นหลัก
ในเวลาเดียวกันอาจใช้แขนเคลื่อนไหวไปพร้อม ๆ กัน เป็นการช่วยเพิ่มความหนักของงาน
การใช้แขนในการเคลื่อนไหวที่หลากหลายยังช่วยให้สนุกสนาน
ลืมความเหน็ดเหนื่อยได้ ซึ่งมีหลักการในการออกแบบท่าออกกำลังกายดังนี้
1.
ใช้กล้ามเนื้อทุกมัดอย่างสมดุล เช่น บริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า ควรบริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหลังควบคู่กันไปด้วย
2.
การใช้แขนและขาควรให้ครบถ้วนทุกท่าเท่าที่จะทำได้
เช่น การงอ การเหยียด การหมุนข้อต่อ การยกเข่า ยกขา ยกแขน การหมุนไหล่ เอว สะโพก และอื่นๆ
ทั่วร่างกายที่จะทำได้
3.
เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วน จะต้องทำให้ครบและทำให้สมดุลกันทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง
4. หลีกเลี่ยงการใช้ท่าที่ยาก
ท่าที่ซับซ้อน ท่าที่ต้องใช้กำลังมากท่าที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ท่าที่ใช้ฝึกนักกีฬา ซึ่งยากเกินไปสำหรับคนทั่วไป เช่น ท่ากระโดดสูง
ท่าที่กระโดดขาเดียว
5.
ไม่ทำท่าหนึ่งท่าใดซ้ำมากครั้งเกินไป จนกล้ามเนื้อส่วนนั้นล้า ควรเปลี่ยนไปใช้กล้ามเนื้อกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ฝึกแล้วได้มีเวลาพักบ้าง
6.
ควรใช้ท่าหนักสลับกับท่าที่เบาหรือท่าที่ผ่อนคลาย
การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching)

การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นการดึงหรือยืดกล้ามเนื้อมัดต่าง
ๆ ให้มีความตึง หรือมีความยืดหยุ่นดีขึ้น
เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อพร้อมที่จะทำงานที่หนักขึ้นได้โดยไม่เกิดการบาดเจ็บ
ซึ่งสามารถสรุปจุดประสงค์ ของการยืดเหยียดกล้ามเนื้อได้ดังนี้
1.
เพื่อให้กล้ามเนื้อกลับมาอยู่ในสภาพปกติ
พร้อมที่จะฝึก
2. เพื่อป้องกันการระบม
หลังจากที่ใช้กล้ามเนื้อทำงานหนัก
3.
เพื่อเป็นการตรวจสภาพของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ถ้ายืดแล้วมีอาการเจ็บนั้นอาจจะ
หมายถึง สัญญาณเตือนว่าอาจจะบาดเจ็บ
จากการฝึกซ้อมหรือแข่งขัน
4.
เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้น
5. เพื่อรักษาช่วงของการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อ
หลักการยืดกล้ามเนื้อ
1.
การยืดกล้ามเนื้อควรทำทุกครั้งหลังการอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว
2.
การยืดกล้ามเนื้อต้องทำอย่างนุ่มนวล ช้า ๆ
และค้างไว้ประมาณ 10 วินาที
3.
การยืดกล้ามเนื้อควรยืดให้รู้สึกว่าถูกยืดหรือถูกดึง ไม่ควรให้รู้สึกว่าตึงจนเจ็บ
ถ้าให้ดีควรมีที่จับ เพื่อความมั่นคงของร่างกาย
4. เลือกใช้ท่าที่ง่าย
ไม่ต้องใช้ท่าที่ต้องทราบตัวหรือท่าที่ยากมากนัก
5.
การยืดกล้ามเนื้อควรทำทีละมัดกล้ามเนื้อ และให้ครบทุกส่วน
6.
การยืดกล้ามเนื้อให้ใช้ท่าที่ไม่เป็นอันตรายต่อข้อต่อต่าง ๆ และกระดูกสันหลัง
7.
การเปลี่ยนท่ายืดควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
10 ท่าพื้นฐานยืดเหยียดร่างกายกาย